บทที่4 ลักษณะเด่นไตรภูมิพระร่วง

ลักษณะเด่น
       หนังสือไตรภูมิพระร่วง ถึงแม้ว่าเป็นวรรณคดีโบราณที่ใช้ภาษาไทยแบบเก่า และมีศัพท์ทางพระพุทธศาสนาปะปนอยู่มาก  ทำให้ยากแก่การอ่านสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางพุทธศาสนามาก่อนก็ตาม  แต่สำนวนพรรณนาที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้มีความแจ่มแจ้ง ไพเราะ ช่วยให้เกิดจินตภาพหลายตอน  และทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยเช่น  ตอนพรรณนาถึงความน่ากลัวในนรกภูมิ  และความสุขสบายในสวรรค์ เป็นต้น  ทุก ๆ ตอนที่กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ทรงอธิบายตอนนั้นอย่างละเอียด  กระบวนพรรณนาที่แจ่มแจ้งแลเห็นจริงจังอันควรยกมาเป็นตัวอย่าง  เช่น  ตอนพรรณนาลักษณะของเปรต  ได้กล่าวเอาไว้ชัดเจน ดังนี้
        " เปรตลางจำพวก ตัวเขาใหญ่ ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มนั้นก็มี  เปรตลางจำพวกผอมหนักหนา  เพื่ออาหารจะกินบมิได้  แม้ว่าจะขอดเอาเนื้อน้อย ๑ ก็ดี  เลือดหยด ๑ ก็ดี  บมิได้เลย  เท่าว่ามีแต่กระดูกและหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้  หนังท้องนั้นเหี่ยวติดกระดูกสันหลังแล ตานั้นลึกและกลวงดังแสร้งควักเสีย  ผมเขานั้นยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา  มาตรว่าผ้าร้ายน้อยหนึ่งก็ดี และจะมีปกกายเขานั้นก็หามิได้เลย  เทียรย่อมเปลือยอยู่  ชั่วตนเขานั้นเหม็นสาบพึงเกลียดนักหนาแลเขานั้นเทียรย่อมเดือดเนื้อร้อนใจเขาแล  เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเมื่อแล  เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล "
คุณค่าของหนังสือ
๑.  ด้านภาษาและสำนวนโวหาร 
     เป็นวรรณคดีเล่มแรกที่เรียบเรียงในลักษณะการค้นคว้าจากคัมภีร์ต่าง ๆ ถึง ๓๐คัมภีร์   จึงมีศัพท์ทางศาสนาและภาษาไทยโบราณอยู่มาก  สามารถนำมาศึกษาการใช้ภาษาในสมัยกรุงสุโขทัย  ตลอดจนสำนวนโวหารต่าง ๆ ไตรภูมิพระร่วงมีสำนวนหนักไปในทางศาสนาโวหารและพรรณนาโวหาร  ผูกประโยคยาว และใช้ถ้อยคำพรรณนาดีเด่น สละสลวยไพเราะ  ก่อให้เกิดความรู้สึกด้านอารมณ์สะเทือนใจและให้จินตภาพหรือภาพในใจอย่างเด่นชัด  เช่น  " บ้างเต้นบ้างรำบ้างฟ้อน ระบำบันลือเพลงดุริยดนตรี  บ้างดีดบ้างสีบ้างตีบ้างเป่า  บ้างขับศัพท์สำเนียง  หมู่นักคุณจุณกันไปเดียรดาษพื้น  ฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้องทำนุกดี  ที่มีดอกไม้อันตระการ่ต่าง ๆ สิ่ง มีจวงจันทน์กฤษณาคันธาทำนอง  ลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้า  สนุกนี้ทุกเมื่อบำเรอกันบมิวาย "
๒.  ด้านความรู้
        ๒.๑  ด้านวรรณคดี ทำให้คนชั้นหลังได้รับความรู้ทางวรรณคดี อันเป็นความคิดของคนโบราณ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของวรรณคดีไทย เช่น พระอินทร์ แท่นบัณพุกัมพล ช้างเอราวัณ เขาพระสุเมรุ ป่าหิมพานต์ต้นปาริชาติ ต้นนารีผล นรก สวรรค์ เป็นต้น
        ๒.๒  ด้านภูมิศาสตร์  เป็นความรู้ทางภูมิศาสตร์ของคนโบราณ
โดยเชื่อว่าโลกมีอยู่ ๔ ทวีป  ได้แก่  ชมพูทวีป  บุรพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป  โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง
๓.  ด้านสังคมและวัฒนธรรม
        ๓.๑  คำสอนทางศาสนา  ไตรภูมิพระร่วงสอนให้คนทำบุญละบาป  เช่น  การทำบุญรักษาศีลเจรฐสมาธิภาวนาจะได้ขึ้นสวรรค์การทำบาปจะตกนรก  แนวความคิดนี้มีอิทะพลเหนือนจิตใจของคนไทยมาช้านาน เป็นเสมือนแนวการสอนศีลธรรมของสังคม ให้คนปฏิบัติชอบซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
        ๓.๒  ค่านิยมเชิงสังคม  อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ให้ค่านิยมเชิงสังคมต่อคนไทย  ให้ตั้งมั่นและยึดมั่นในการเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณา รักษศีล บำเพ็ญทาน รู้จักเสียสละ เชื่อมั่นในผล  แห่งกรรม
        ๓.๓  ศิลปกรรม  จิตรกรนิยมนำเรื่องราวและความคิดในไตรภูมิพระร่วงไปเขียนภาพสีไว้ในโบสถ์วิหาร  โดยจะเขียนภาพนรกกไว้ที่ผนังด้านล่างหรือหลังองค์พระประธาน  และเขียนภาพสวรรค์ไว้ที่ผนังเบื้องบนรอบโบสถ์วิหาร
๔.  ด้านอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น
      มีหนังสืออ้างอิงทำนองไตรภูมิพระร่วง ที่มีผู้แต่งเลียนแบบอีกหลายเล่ม เช่น จักรวาลทีปนี ของ พระสิริมังคลาจารย์แห่งเชียงใหม่ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเล่าเรื่องไตรภูมิ  เป็นต้น 
       ไตรภูมิพระร่วงมีอิทธิพลสำคัญต่อแนวคิดของกวีรุ่นหลัง  โดยนำความคิดในไตรภูมิพระร่วงสอดแทรกในวรรณคดีต่าง ๆ เช่น  ลิลิตโองการแช่งน้ำ  มหาเวสสันดรชาดก  รามเกียรติ์  กากีคำกลอนขุนช้างขุนแผน  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
    ลิลิตโองการแช่งน้ำ   กล่าวถึงไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก
นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์                จักร่ำจักรพาฬหเมื่อไหม้
   กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง             น้ำแล้งไข้ขอดหาย "
รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑  กล่าวถึงทวีปทั้ง  ๔  ว่า
สำแดงแผลงฤทธิ์ฮีกฮัก                 ขุนยักษ์ไล่ม้วนแผ่นดิน
   ชมพูอุดรกาโร                               อมรโคยานีก็ได้สิ้น "
รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒  กล่าวถึงปลาอานนท์
เขาสุเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน   อานนท์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน "
กากีคำกลอน  กล่าวถึงแม่น้ำสีทันดร
" .......................................              ในสาครลึกกว้างกลางวิถี
 แม้จะขว้างหางแววมยุรี                  ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาน
 อันน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน             จึงชื่อสีทันดรอันใสสาร
ประกอบด้วยมัจฉากุมภาพาล          คชสารเงือกน้ำและนาคิน "
ขุนช้างขุนแผน  กล่าวถึงป่าหิมพานต์
ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ                    จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่
  เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี       สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
  เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ                     ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว
 รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว               พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
 ปักเป็นมยุราลงรำร่อน                     ฟ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
 แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง               ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชะม้อยตา
 ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม        อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
 วินันตกอัสกรรณเป็นหลั่นมา           การวิกอิสินธรยุคุนธร "
ตัวอย่างจากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง
โลหสิมพลีนรก


        " นรกบ่าวถัดนั้นอันคำรบ ๑๕  ชื่อ โลหสิมพลีนรก  ฝูงชนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี    แลผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี  คนฝูงนั้นตายไปแล้วไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีป่าไม้งิ้วป่า ๑ หลายต้นนักแล  ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์  แลหนามงิ้วนั้นเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวสุกอยู่
แลหนามงิ้วนั้นยาวได้ ๑๒ นิ้วมือ  เป็นเปลวไฟลุกอยู่ห่อนจะรู้ดับสักคาบแล  ในนรกนั้นเทียรย่อมฝูงหญิงฝูงชายหลายแล  คนฝูงนั้นเขาได้รักใคร่กันดังกล่าวมาดุจก่อนนั้นแล  ลางคาบผู้หญิงอยู่บนปลายงิ้ว  ผู้ชายอยู่ภาคต่ำ  ฝูงยมบาลเขาก็เอาหอกดาบหลาวแหลน อันคมเทียรย่อมเหล็กแดง แทงตีนผู้ชายนั้น  จำให้ขึ้นไปหาผู้หญิงชูของสู อันอยู่บนปลายงิ้วโพ้นเร็วอย่าอยู่  แลฝูงผู้ชายทนเจ็บบมิได้จึงปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้นครั้นว่าขึ้นไปไส้  หนามงิ้วบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่ง แล้วเป็นเปลวไหม้ตนเขา ๆ อดบมิได้จึงบ่ายหัวลงมา  ฝูงยมบาลก็เอาหอกแทงซ้ำเล่าร้องว่าสูเร่งขึ้นไปหาชู้สูที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้น  สูจะลงมาเยียใดเล่า  เขาอดเจ็บบมิได้  เขาเถียงยมบาลว่า  ตูมิขึ้นไป  เขาก็มิขึ้นไป  แลหนามงิ้วบาดทั่วทั้งตัวเขา ๆ เจ็บปวดนักหนาดังใจเขาจะขาดตาม  แลเขากลัวฝูงยมบาล  เขาจึงขึ้นไปเถิงปลายงิ้วนั้น  ครั้นจะใกล้เถิงผู้หญิงผู้เป็นชู้สูอันอยู่บนปลายงิ้วนั้นเล่า  แลว่าเมื่อเขาขึ้นลงหากันดังนั้นหลายคาบหลายคราลบากนักหนาแล "
จาตุมหาราชิกาสวรรค์

          " แต่แผ่นดินเราอยู่นี้ขึ้นไปเบื้องบนได้ ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐  วาผิจะนับด้วยโยชน์ได้  ๔,๖๐๐ โยชน์ไส้  ว่าจิงได้เถิงชั้นฟ้าอันชื่อ  จาตุมหาราชิกา  ภูมิอันตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคนธรฝ่ายตะวันตกตะวันออกก็ดี  ฝ่ายหนทักษิณเขาพระสิเนรุราช  มีเมืองใหญ่เทพยดาอยู่ ๔ เมือง  โดยกว้างโดยยาวเมืองนั้นใหญ่ได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา  รอบนั้นเทียรย่อมกำแพงทอง  ประดับด้วยแก้ว ๗ประการ  แลกำแพงอันรอบนั้นโดยสูงได้ ๘,๐๐๐ วา  บานประตูนั้นเทียรย่อมแก้ว  แลมีปราสาททองอยู่เหนือประตูนั้นทุกอัน  ในเมืองนั้นเทียรย่อมปราสาทแก้ว  ฝูงเทพยดาอยู่ใน  แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินทองพรายงามราบนักหนาดังหน้ากลอง  แลอ่อนดังฝูกผ้า  แลแก้วนั้นเมื่อเหยียบลงอ่อนสน่อยแล้วก็เต็มขึ้นมาเล่า  บ่มิเห็นรอยตีนเลย  นอกนั้นมีน้ำใสกว่าแก้ว  แลมีดอกบัวบาน ๕ สิ่ง  ในสระนั้น  น้ำนั้นหอมดั่งแสร้งอบ  แลมีพรรณดอกไม้อันงาม  แลมีต้นไม้อันประเสริฐ งาม  มีลูกอันประเสริฐ  แลมีโอชารสอันยิ่ง  แลไม้ฝูงนี้เป็นดอกเป็นลูกทุกเมื่อ  แล่บ่ห่อนจะรู้วายเลยเทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทวดาทั้งหลาย  ฝ่ายตะวันออกเขาสุเนรุราชนั้น ชื่อว่าท้าวธตรฐราช  เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายรอดทั่วทั้งกำแพงจักรวาฬฝ่ายตะวันออกแล   เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาแลฝูงครุฑราช  แลฝูงนาคเถิงกำแพงจักรวาฬเบื้องตะวันตก  แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายทักษิณชื่อ ท้าววิรุฬหกราช เป็นพระญาแก่ฝูงยักษ์อันชื่อกุมภัณฑ์  แลเทพยดาทั้งหลายรอดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายทักษิณ  แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายอุดรชื่อ ท้าวไพรศรพณ์มหาราช เป็นพระญาแก่หมู่ยักษ์ทั้งหลาย  แลเทพยดาฝ่ายอุดรทิศเขาพระสิเนรุราชรอดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายอุดรนั้นแล "

อ้างอิง http://piromwasee.exteen.com








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทที่6 วีดีโอประกอบเรื่อง

วีดีโอประกอบเรื่อง https://www.youtube.com/watch?v=kJ 7 Kz- 0998 I กามภูมิ อรุปภูมิ รูปภุมิ https://www.youtube.com...