วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

บบที่5 วิเคราะห์เรื่องไตรภูมิพระร่วง

วิเคราะห์เรื่องไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง....อุตตรกุรุทวีป

  อุตตรกุรุทวีป คือแดนหรือสังคมในอุดมคติ  ซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนามต่างปรารถนาจะได้ไปเกิด  เพราะในแดนนี้มนุษย์ทุกคนจะมีความเสมอภาคหรือเท่าเทียมกันทุกประการ  ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความเป็นอยู่  ชีวิตจึงเปี่ยมไปด้วยความสุขสบายเป็นที่สุด
           ตอนประเภทมนุษย์ สี่แผ่นดิน
      ซึ่งเน้นที่  อุตตรกุรุทวีป”  ซึ่งอยู่ทางใต้ของชมพูทวีปอันเป็นหนึ่งใน  ๔  ทวีปใน มนุสสภูมิแนวคิดเกี่ยวกับสังคมในอุดมคตินี้มิได้มีเฉพาะในวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วงเท่านั้น 
        ในวรรณคดีชาติอื่น ๆ  ก็มีแนวคิดทำนองเดียวกันเช่นเรื่อง  ยูโทเปีย”  (Utopia)  ของทอมัส  มอร์  (Thqmas  More)  ซึ่งแต่งขึ้นใน ค.ศ ๑๕๑๕  เรื่อง  เต๋า  เต๊ก  เก็งหรือ  เต๋า  เต้อ  ชิง” (Tao-Te-Ching) ที่เล่าจื้อหรือเล่าเสอ (Laotse) ได้รวบรวมขึ้นไว้ประมาณ  ๒,๔๐๐  กว่าปีมาแล้วเป็นต้น  สิทธา  พินิจภุวดลนักวรรณคดีเปรียบเทียบได้ศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับแนวคิดในวรรณคดีทั้งสามเรื่องนี้ไว้ในงานวิจัยเรื่อง  การศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับสังคมอุดมคติในวรรณคดีเรื่อง  ไตรภุมิพระร่วง-ยูโทเปีย  และ  เต๋า  เต็ก  เก็ง”  สรุปความสำคัญได้ว่า  วรรณคดีทั้งสามเรื่องนี้มีแนวคิดร่วมกันในการแสวงหาลักษณะต่างๆ ของสังคมในอุดมคติ  ทั้งๆที่ผู้แต่งทั้งสามมีความแตกต่างกันในด้านยุคสมัย  เชื้อชาติ  ภาษา และวัฒนธรรม เมื่อกล่าวเฉพาะอุตตรกุรุทวีป จะเห็นว่ามวลมนุษย์ที่อยู่ในแดนนี้จะต้องประกอบแต่กรรมดีมาแต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น  นี้คือประจักษ์พยานเรื่องกฎแห่งกรรมหรืออำนาจแห่งผลกรรมที่เห็นชัดว่า  การทำดีย่อมได้ผลดีเป็นเครื่องตอบแทน
             ในจำนวนทวีปทั้ง  ๔  จะเห็นว่ามีเพียง  ชมพูทวีป”  เท่านั้นที่มนุษย์มีอายุไม่แน่นอน  ขึ้นๆ ลงๆ ตามแต่กรรมที่กระทำ  คือเมื่อใดที่คนทั้งหลายมิได้จำศีลแลมิได้ทำบุญ  อายุก็จะลดน้อยลงแต่ถ้าคนทั้งหลายนั้นมีศีลอยู่ไสร้  อายุก็จะมากขึ้น  ส่วนอีก  ๓  ทวีปที่เหลือมนุษย์จะมีอายุยืนตามที่กำหนดไว้แน่นอนเพราะพวกเขา  อยู่ในปัญจศีลทุกเมื่อบ่มิขาด  โดยเฉพาะอุตตรกุรุทวีปมนุษย์จะมีอายุยืนนานที่สุดคือ  ๑,๐๐๐  ปี
               เมื่ออ่านตอนอุตตรกุรุทวีปแล้ว  บางคนอาจเห็นเป็นเพียงความใฝ่ฝันอันสูงสุดซึ่งยากที่จะเป็นไปได้ในชีวิตมนุษย์  เพราะให้รายละเอียดของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอุตตรกุรุทวีปที่เป็นเลิศ  เช่น  มีสิ่งแวดล้อมที่ดี  ที่อยู่อาศัยสะดวกสบาย  แต่ละคนมีร่างกายงดงามและมีสุขภาพกายดีเหมือนกัน  ไม่รู้จักการเจ็บไข้ได้ป่วย  เมื่ออายุครบ  ๑,๐๐๐  ปีจึงตาย  แต่ก็ไม่มีใครร้องไห้เศร้าโศกเพราะทราบดีว่า  เขาไสร้เทียรย่อมไปเกิดในที่ดีคือสวรรค์ชั้นฟ้าแล  เพราะว่าเขานั้นย่อมตั้งอยุ่ในปัจศีลนั้นทุกเมื่อแลบ่มิได้ขาด  ผู้ตายจะไม่มีทางไปเกิดในจตุราบายทั้ง  ๔  คือ  นรก  เปรต  ดิรัจฉาน  อสุรกาย  เป็นอันขาด
            ความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยภายนอกทั้งปวงที่เอื้อต่อการดำเนินชีวิตอันแสนสุข  ทำให้คนในอุตตรกุรุทวีปไม่มีความร้อนเนื้อเดือดใจ  ไม่รู้สึกปรารถนาสิ่งของของผู้ใด  มีจิตใจที่สงบงาม  เป็นมิตร  เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน  เช่น  เมื่อมีผู้มาเยือนขณะที่รับประทานข้าว  พวกเขาก็จะ  เอาข้าวนั้นให้แก่ผู้ไปถึงเขานั้นกินด้วยใจอันยินดี เมื่อมีหญิงคลอดลูก  ผู้เป็นแม่ก็มิต้องเลี้ยงดู  เพียงนำทารกไปนอนหงายริมทาง  คนที่ผ่านไปมาเห็นเข้า  เทียรย่อมเอานิ้วมือเขาป้อนเข้าไปในปากลูกอ่อนนั้นด้วยบุญของลูกอ่อนนั้น  ก็บังเกิดเป็นน้ำนมไหลออกมาแต่ปลายนิ้วมือเขาก็ไปในคอลูกอ่อนนั้น ทั้งๆที่พวกเขางามเหมือนกันหมด  และลูกก็มิรู้จักแม่  แม่ก็มิรู้จักลูก  แต่พวกเขาจะไม่มีความประพฤติผิดทางกามคือ  แม่แลลูกก็ดี  พ่อแลลูกก็ดี  เขาบ่หอนได้กันเป็นผัวเป้นเมีย  เพราะว่าเขาฝูงนั้นเป็นคนนักบุญ             
                 แม้ในชีวิตจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  มนุษย์ที่เกิดอยู่ในชมพูทวีปจะมีช่วงอายุที่สั้นที่สุดคืออาจไม่ถึง  ๑๐๐  ปี  แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า  ทุกคนได้เกิดในทวีปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ  และโปรดสั่งสอนสัตว์โลก  มีจริยธรรมและคุณธรรม  เมื่อประกอบกรรมดี  ผู้นั้นก็จะได้รับผลดีตอบแทน  มีโอกาสที่จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า  ซึ่งแม้จะเป็นภพภูมิที่ให้ความสุขในทางโลกียะก็ตาม  แต่ที่สำคัญที่สุดคือจะได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม  สะสมบุญบารมียิ่งๆ ขึ้น  จนกระทั่งสามารถหลุดพ้นจากไตรภุมิ  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก  นั่นคือได้บรรลุนิพพาน  อันเป็นความสุขในทางโลกุตระซึ่งเป็นความสุขอันหาที่เปรียบมิได้  ดังพญาลิไทยได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในตอนต้นของ  นิพพานกถา”  ว่า
  อันว่านิพพานสมบัตินี้สนุกสุขเขษมนักหนาที่จะปานบ่มิได้เลย  สมบัติอินทร์พรหมทั้งหลายก็ดี  ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบด้วยสมบัตินิพพานนั้น  ประดุจเอาหิ่งห้อยมาเปรียบเทียบด้วยพระจันทร์  ถ้ามิดั่งนั้นดุจน้ำอันติดอยู่บนปลายผม  แลมาเปรียบด้วยน้ำมหาสมุทรอันลึกได้  ๘๔,๐๐๐  โยชน์  ผิบ่มิดังนั้นดุจเอาดินธุลีนั้นมาเปรีบยด้วยเขา  พระสุเมรุ  จักรรัตนวรอันประเสริฐแห่งนิพพานนั้นบ่มิถ้วนได้เลย  สมบัติในนิพพานนั้นสุขจะพ้นประมาณ...สมบัติยิ่งสมบัติมนุษยโลกแลเทวโลกพรหมโลก
ดังนั้นการที่พญาลิไทยได้ทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วงขึ้นก็เพื่อจะกระตุ้นให้บุคคลได้ตระหนักถึงผลแห่งการทำดีในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมถ้าทุกคนทำดี  สังคมก็ย่อมดีด้วยคือเจริญรุ่งเรือง  ผู้คนจะอยู่เย็นเป็นสุขทั้งกายและใจ  เพราะมีจิตใจสูงและสงบ  ไม่เบียดเบียนรุกรานกัน  มีแต่ช่วยเหลือซึ่งกันด้วยเหตุนี้จึงมีนักวิชาการหลายคนเห็นพ้องกันว่า  การที่พญาลิไทยได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิพระร่วงขึ้นเท่ากับเป็นการสร้างกรอบทางจริธรรมให้แก่คนในสังคม  เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ผู้นำปรารถนาจะใช้ให้เห็นเป็นรูปธรรมให้เป็นความจริง  มิใช่เป็นเพียงสังคมในฝันหรือสังคมในอุดมคติเท่านั้น
 เรื่องไตรภูมิพระร่วงตอนอุตตรกุรุทวีปนั้น  ผู้อ่านสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง  แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ  แต่ก็ดีกว่าที่จะละเลย  เพราะสังคมในปัจจุบันเป็นสังคมแห่งความสับสนวุ่นวาย  เกิดการจลาจลนองเลือดเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า  ก็เพราะสมาชิกในสังคมมีจิตใจต่ำทราม  ประพฤติตนผิดศีลธรรมละเลยคุณธรรมที่พึ่งยึดมั่น  ยอมให้อำอาจวัตถุนิยมมามีอิทธิพลเหนือตนจนสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำ  ถ้าผู้นำในสังคมปฎิบัติ ตนให้เป็นเยี่ยงอย่าง  ปกครองบ้านเมืองโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม  สังคมก็จะอยู่รอด  แต่ตราบใดที่ผุ้นำเองก็ยังไม่ตระหนักในแนวคิดต่างๆที่กล่าวมานี้  สังคมก็ย่อมจะถึงกาลหายนะในที่สุด  เรื่องไตรภูมิพระร่วงจึงมีแนวคิดที่ทันสมัยใหม่อยู่เสมอ  อ่านแล้วผู้อ่านจะเกิดพลังใจในการทำความดีเพื่อจักได้  ไปเกิดในอุตตรกุรุทวีป  แม้จะเป็นเพียงความสุขทางโลกก็ตาม
               นอกจากคุณค่าในด้านเนื้อหาซึ่งมุ่งให้ผู้อ่านตั้งมั่นอยู่  ในศีลธรรมแล้วเรื่องไตรภูมิพระร่วงทุกบททุกตอนยังมีคุณค่าในด้านอื่นๆ อีกนานัปการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวรรณศิลป์  ดังจะเห็นได้จากตอน  ประเภทมนุษย์ สี่แผ่นดิน”  ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถในทางอักษรศาสตร์และวรรณศิลป์เป็นอย่างยิ่ง  แม้เรื่องนี้จะมีอายุยาวนานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม  แต่ก็อ่านเข้าใจได้ไม่ยากนัก  เพียงแต่อาจมีคำบางคำ  หรือ สำนวนบางสำนวนที่เก่าพ้นสมัย  เช่น  เข้า-ปี    หน้าแว่น-กระจกเงา       นะแนง-ยิ่ง  อุกกรุก-สกปรกเลอะเทอะ  เดือดเนื้อเดือดใจ-เดือดเนื้อร้อนใจ  กะจอกงอกเงื่อย-กระจอกงอกง่อย 
เป็นต้น        
           เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยนั้นนิยมใช้คำซ้อน  เช่น  ตัดตีนสินมือ  สุรายาเมา  เรือชานาวา  งูเงี้ยวเขี้ยวขอ  ร้อนเนื้อเดือดใจ  เปื่อยเนื้อเมื่อยตน  เป็นต้น 
           ทั้งนิยมใช้คำหรือวลีซ้ำๆ  กัน เช่น  ผู้เถ้าผู้แก่  รักพี่รักน้อง  รู้ยำรู้เกรง  หัวหลักหัวตอ  ลางคาบคนทั้งหลายมีศีลธรรมลางคาบคนทั้งหลายหาศีลหาธรรมบ่มิได้  แม่แลลูกก็ดี  พ่อแลลูกก็ดี  ลูกก็มิรู้จักแม่  แม่ก็มิรู้จักลูก  บ่มิได้เป็นขุบเป็นรู  บ่มิได้ลุ่มมิได้เทง 
เป็นต้น         
             บางคำบางสำนวนยังคงใช้อยู่แม้ในปัจจุบัน  เช่น  สุรายาเมา  หัวหลักหัวตอ  ฯลฯ
                    มีการใช้คำซ้อน  คำซ้ำ  หรือวลีซ้ำๆ  ดังตัวอย่างข้างต้นนี้เห็นได้ว่ามีส่วนคล้ายกับสำนวนภาษาในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงอยู่บ้าง  ซึ่งนอกจากจากจะช่วยให้เกิดเสียง  และจังหวะที่ไพเราะรื่นหูแล้ว  ยังช่วยเน้นย้ำความให้หนักแน่นชัดเจนยิ่งขึ้น  และเมื่อมารวมกันเป็นข้อความก็จะก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ  มีความรู้สึกร่วมด้วย  มีพลัง  โน้มน้าวใจสูง  เช่น  ตอนกล่าวถึงศีลห้าว่า

  ...  เขาบ่ห่อนจะรู้ฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตาย  เขาบ่ห่อนจะรู้ลักเอาสินทรัพย์ท่านมากก็ดี  อันเจ้าเข้ามิได้ให้  เขาบ่ห่อนจะรู้ฉกลักเอา  อนึ่งเขาบ่ห่อนจะรู้ทำชู้ด้วยเมียท่านผู้อื่น  ส่วนว่าผู้หญิงเล่าเขาก็บ่ห่อนจะรู้ทำชู้ด้วยผัวท่านแลผู้อื่น  แลเขาบ่ห่อนจะรู้ทำชู้จากผัวของตน  อันหนึ่งเขาบ่ห่อนจะรู้เจรจามุสาวาท  แลเขาบ่ห่อนจะรู้เสพสุรายาเมา  แลเขารู้ยำรู้เกรงผู้เถ้าผู้แก่แลพ่อแม่ของเขา  เขารู้พี่รักน้องของเขา  เขาก็ใจอ่อนใจอด  เขารู้เอ็นดูกรุณาแก่กัน  เขาบ่ห่อนจะรู้ริษยากัน  เขาบ่ห่อนจะรู้เสียดรู้ส่อรู้ทอรู้พ้อรู้ตัดกัน  แลเขาบ่ห่อนจะรู้ทะเลาะเบาะแว้งถุ้งเถียงกัน
                อนึ่ง  เป็นที่น่าสังเกตว่า  แม้เรื่องไตรภูมิพระร่วงจะแต่งเป็นร้อยแก้ว  คือเลือกสรรคำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันโดยมิได้มุ่งสัมผัสเหมือนร้อยกรอง  แต่ความที่คนไทยไม่ว่ายุคใดสมัยใดนักจะมีคุณสมบัตินักกลอนเสมอ  จึงอดที่จะกล่าวหรือเขียนอะไรที่สัมผัสคล้องจองกันมิได้  ในเรื่องไตรภูมิพระร่วงก็เช่นกันคือ  บางตอนมีลักษณะเป็นร้อยแก้วที่สัมผัส  โดยเฉพาะสัมผัสในทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระอย่างมิได้ตั้งใจ  แต่เป็นไปโดยธรรมชาติของนักกลอนไทย  เช่น
 ...  คนฝูงกินข้าวนั้นแลจะรู้เป็นหิดแลเรื้อนเกลื้อนแลกลากหูดแลเปา  เป็นต่อมเป็นเต้า  เป็นง่อยเป็นเพลีย  ตาฟูหูหนวก  เป็นกะจอกงอกเงื่อย  เปื่อยเนื้อเมื่อยตน  ท้องขึ้นท้องพอง  เจ็บท้องต้องไส้  ปวดหัวมัวตา  ไข้เจ็บเหน็บเหนื่อยวิการดังนี้ไสร้  บ่ห่อนจะบังเกิดมีแก่ชาวอุดรกุรุนั้นแต่สักคาบหนึ่งเลย ...
                ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งคือการใช้ภาพพจน์หรือโวหารเปรียบเทียบ ซึ่งนอกจากจะไพเราะแล้ว  ยังช่วยให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เช่นตอนกล่าวถึงความงามของหญิงในอุตตรกุรุทวีปว่า
 …  นิ้วตีนนิ้วมือเขานั้นกลมงามนะแน่ง  เล็บตีนเล็บมือเขานั้น  แดงงามดังน้ำครั่ง  อันท่านแต่งแล้วแลแต้มไว้  แลสองแก้มเขานั้นไสร้งามเป็นนวลดังแกล้งเอาแป้งผัด  หน้าเขานั้นหมดเกลี้ยงปราศจากมุทิน (หาฝ้า)  หาไฝบ่มิได้  แลเห็นดวงหน้าเขาไสร้ดุจดั่งพระจันทร์วันเพ็งบูรณ์นั้น  เขานั้นมีตาเป็นอันดำตาแห่งลูกทรายพึ่งออกได้  ๓  วัน  ที่พรรณขาวก็ขาวงามดั่งสังข์อันท่านพึ่งฝนใหม่  แลมีฝีปากนั้นแดงดั่งลูกฟักข้าวอันสุกนั้น  แลมีลำแข้งลำขานั้นงามดั่งกล้วยทองฝาแฝดนั้นแล  แลมีท้องขานั้นงามราบเพียงลำตัวเขานั้นอ้อนแอ้นเกลี้ยงกลมงาม
        จะเห็นว่า  การใช้โวหารเปรียบเทียบและเภทอุปมาโวหารทำให้เห็นภาพหญิงในอุตตรกุรุทวีปว่า มีความงามที่สมบูรณ์แบบ  ทันสมัย  และเป็นสากล  ไม่ว่าจะพิจารณาด้านใดก็เป็นความงามที่ยังคงเป็นยอดปรารถนาของหญิงในปัจจุบัน  นี้คือวรรณศิลป์ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถของพญาลิไทยในฐานะกวีร้อยแก้ว  ทำให้ผู้อ่านเรื่องไตรภูมิพระร่วงซาบซึ้งประทับใจ  ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตอนมนุษย์  ๔  แผ่นดิน ซึ่งเน้นที่อุตตรกุรุทวีปเท่านั้น  ส่วนตอนอื่นๆ  เช่น  ตอนนรกภูมิ  สวรรค์ภูมิ  ฯลฯ  นั้นยิ่งประจักษ์พยานอันเด่นชัดว่า  เรื่องไตรภูมิพระร่วงอุดมไปด้วยรสแห่งวรรณศิลป์โดยแท้จริง...


อ้างอิง http://www.siam1.net/article-9297.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทที่6 วีดีโอประกอบเรื่อง

วีดีโอประกอบเรื่อง https://www.youtube.com/watch?v=kJ 7 Kz- 0998 I กามภูมิ อรุปภูมิ รูปภุมิ https://www.youtube.com...