ลักษณะเด่น
หนังสือไตรภูมิพระร่วง
ถึงแม้ว่าเป็นวรรณคดีโบราณที่ใช้ภาษาไทยแบบเก่า
และมีศัพท์ทางพระพุทธศาสนาปะปนอยู่มาก
ทำให้ยากแก่การอ่านสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางพุทธศาสนามาก่อนก็ตาม แต่สำนวนพรรณนาที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้มีความแจ่มแจ้ง
ไพเราะ ช่วยให้เกิดจินตภาพหลายตอน
และทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยเช่น
ตอนพรรณนาถึงความน่ากลัวในนรกภูมิ
และความสุขสบายในสวรรค์ เป็นต้น
ทุก ๆ ตอนที่กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ทรงอธิบายตอนนั้นอย่างละเอียด กระบวนพรรณนาที่แจ่มแจ้งแลเห็นจริงจังอันควรยกมาเป็นตัวอย่าง เช่น
ตอนพรรณนาลักษณะของเปรต
ได้กล่าวเอาไว้ชัดเจน ดังนี้
"
เปรตลางจำพวก ตัวเขาใหญ่ ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มนั้นก็มี เปรตลางจำพวกผอมหนักหนา เพื่ออาหารจะกินบมิได้ แม้ว่าจะขอดเอาเนื้อน้อย ๑ ก็ดี เลือดหยด ๑ ก็ดี บมิได้เลย
เท่าว่ามีแต่กระดูกและหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้ หนังท้องนั้นเหี่ยวติดกระดูกสันหลังแล
ตานั้นลึกและกลวงดังแสร้งควักเสีย
ผมเขานั้นยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา
มาตรว่าผ้าร้ายน้อยหนึ่งก็ดี และจะมีปกกายเขานั้นก็หามิได้เลย เทียรย่อมเปลือยอยู่ ชั่วตนเขานั้นเหม็นสาบพึงเกลียดนักหนาแลเขานั้นเทียรย่อมเดือดเนื้อร้อนใจเขาแล เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเมื่อแล เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล "
คุณค่าของหนังสือ
๑.
ด้านภาษาและสำนวนโวหาร
เป็นวรรณคดีเล่มแรกที่เรียบเรียงในลักษณะการค้นคว้าจากคัมภีร์ต่าง ๆ ถึง
๓๐คัมภีร์
จึงมีศัพท์ทางศาสนาและภาษาไทยโบราณอยู่มาก
สามารถนำมาศึกษาการใช้ภาษาในสมัยกรุงสุโขทัย ตลอดจนสำนวนโวหารต่าง ๆ
ไตรภูมิพระร่วงมีสำนวนหนักไปในทางศาสนาโวหารและพรรณนาโวหาร ผูกประโยคยาว และใช้ถ้อยคำพรรณนาดีเด่น
สละสลวยไพเราะ
ก่อให้เกิดความรู้สึกด้านอารมณ์สะเทือนใจและให้จินตภาพหรือภาพในใจอย่างเด่นชัด เช่น
" บ้างเต้นบ้างรำบ้างฟ้อน ระบำบันลือเพลงดุริยดนตรี บ้างดีดบ้างสีบ้างตีบ้างเป่า บ้างขับศัพท์สำเนียง หมู่นักคุณจุณกันไปเดียรดาษพื้น
ฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้องทำนุกดี ที่มีดอกไม้อันตระการ่ต่าง ๆ สิ่ง
มีจวงจันทน์กฤษณาคันธาทำนอง
ลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้า
สนุกนี้ทุกเมื่อบำเรอกันบมิวาย "
๒.
ด้านความรู้
๒.๑ ด้านวรรณคดี
ทำให้คนชั้นหลังได้รับความรู้ทางวรรณคดี อันเป็นความคิดของคนโบราณ
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของวรรณคดีไทย เช่น พระอินทร์ แท่นบัณพุกัมพล ช้างเอราวัณ
เขาพระสุเมรุ ป่าหิมพานต์ต้นปาริชาติ ต้นนารีผล นรก สวรรค์ เป็นต้น
๒.๒ ด้านภูมิศาสตร์ เป็นความรู้ทางภูมิศาสตร์ของคนโบราณ
โดยเชื่อว่าโลกมีอยู่ ๔ ทวีป ได้แก่
ชมพูทวีป บุรพวิเทหทวีป
อุตตรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง
๓.
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
๓.๑ คำสอนทางศาสนา
ไตรภูมิพระร่วงสอนให้คนทำบุญละบาป
เช่น
การทำบุญรักษาศีลเจรฐสมาธิภาวนาจะได้ขึ้นสวรรค์การทำบาปจะตกนรก
แนวความคิดนี้มีอิทะพลเหนือนจิตใจของคนไทยมาช้านาน
เป็นเสมือนแนวการสอนศีลธรรมของสังคม ให้คนปฏิบัติชอบซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
๓.๒ ค่านิยมเชิงสังคม
อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ให้ค่านิยมเชิงสังคมต่อคนไทย ให้ตั้งมั่นและยึดมั่นในการเป็นคนใจบุญ
มีเมตตากรุณา รักษศีล บำเพ็ญทาน รู้จักเสียสละ เชื่อมั่นในผล แห่งกรรม
๓.๓ ศิลปกรรม
จิตรกรนิยมนำเรื่องราวและความคิดในไตรภูมิพระร่วงไปเขียนภาพสีไว้ในโบสถ์วิหาร
โดยจะเขียนภาพนรกกไว้ที่ผนังด้านล่างหรือหลังองค์พระประธาน
และเขียนภาพสวรรค์ไว้ที่ผนังเบื้องบนรอบโบสถ์วิหาร
๔.
ด้านอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น
มีหนังสืออ้างอิงทำนองไตรภูมิพระร่วง
ที่มีผู้แต่งเลียนแบบอีกหลายเล่ม เช่น จักรวาลทีปนี ของ
พระสิริมังคลาจารย์แห่งเชียงใหม่ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเล่าเรื่องไตรภูมิ เป็นต้น
ไตรภูมิพระร่วงมีอิทธิพลสำคัญต่อแนวคิดของกวีรุ่นหลัง โดยนำความคิดในไตรภูมิพระร่วงสอดแทรกในวรรณคดีต่าง
ๆ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ มหาเวสสันดรชาดก รามเกียรติ์
กากีคำกลอนขุนช้างขุนแผน
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ลิลิตโองการแช่งน้ำ
กล่าวถึงไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก
" นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักรพาฬหเมื่อไหม้
กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ขอดหาย "
รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่
๑ กล่าวถึงทวีปทั้ง ๔ ว่า
" สำแดงแผลงฤทธิ์ฮีกฮัก ขุนยักษ์ไล่ม้วนแผ่นดิน
ชมพูอุดรกาโร อมรโคยานีก็ได้สิ้น
"
รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่
๒ กล่าวถึงปลาอานนท์
" เขาสุเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อานนท์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน "
กากีคำกลอน
กล่าวถึงแม่น้ำสีทันดร
" ....................................... ในสาครลึกกว้างกลางวิถี
แม้จะขว้างหางแววมยุรี ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาน
อันน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน จึงชื่อสีทันดรอันใสสาร
ประกอบด้วยมัจฉากุมภาพาล คชสารเงือกน้ำและนาคิน "
ขุนช้างขุนแผน กล่าวถึงป่าหิมพานต์
" ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่
เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี
สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ
ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว
รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
ปักเป็นมยุราลงรำร่อน ฟ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชะม้อยตา
ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
วินันตกอัสกรรณเป็นหลั่นมา การวิกอิสินธรยุคุนธร "
ตัวอย่างจากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง
โลหสิมพลีนรก
" นรกบ่าวถัดนั้นอันคำรบ
๑๕ ชื่อ โลหสิมพลีนรก ฝูงชนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี แลผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปแล้วไปเกิดในนรกนั้น ๆ
มีป่าไม้งิ้วป่า ๑ หลายต้นนักแล
ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์
แลหนามงิ้วนั้นเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวสุกอยู่
แลหนามงิ้วนั้นยาวได้ ๑๒ นิ้วมือ เป็นเปลวไฟลุกอยู่ห่อนจะรู้ดับสักคาบแล ในนรกนั้นเทียรย่อมฝูงหญิงฝูงชายหลายแล คนฝูงนั้นเขาได้รักใคร่กันดังกล่าวมาดุจก่อนนั้นแล ลางคาบผู้หญิงอยู่บนปลายงิ้ว ผู้ชายอยู่ภาคต่ำ ฝูงยมบาลเขาก็เอาหอกดาบหลาวแหลน
อันคมเทียรย่อมเหล็กแดง แทงตีนผู้ชายนั้น
จำให้ขึ้นไปหาผู้หญิงชูของสู อันอยู่บนปลายงิ้วโพ้นเร็วอย่าอยู่
แลฝูงผู้ชายทนเจ็บบมิได้จึงปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้นครั้นว่าขึ้นไปไส้ หนามงิ้วบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่ง แล้วเป็นเปลวไหม้ตนเขา
ๆ อดบมิได้จึงบ่ายหัวลงมา
ฝูงยมบาลก็เอาหอกแทงซ้ำเล่าร้องว่าสูเร่งขึ้นไปหาชู้สูที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้น สูจะลงมาเยียใดเล่า เขาอดเจ็บบมิได้ เขาเถียงยมบาลว่า ตูมิขึ้นไป
เขาก็มิขึ้นไป
แลหนามงิ้วบาดทั่วทั้งตัวเขา ๆ เจ็บปวดนักหนาดังใจเขาจะขาดตาม แลเขากลัวฝูงยมบาล เขาจึงขึ้นไปเถิงปลายงิ้วนั้น
ครั้นจะใกล้เถิงผู้หญิงผู้เป็นชู้สูอันอยู่บนปลายงิ้วนั้นเล่า แลว่าเมื่อเขาขึ้นลงหากันดังนั้นหลายคาบหลายคราลบากนักหนาแล
"
จาตุมหาราชิกาสวรรค์
" แต่แผ่นดินเราอยู่นี้ขึ้นไปเบื้องบนได้
๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วาผิจะนับด้วยโยชน์ได้ ๔,๖๐๐ โยชน์ไส้ ว่าจิงได้เถิงชั้นฟ้าอันชื่อ จาตุมหาราชิกา
ภูมิอันตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคนธรฝ่ายตะวันตกตะวันออกก็ดี ฝ่ายหนทักษิณเขาพระสิเนรุราช มีเมืองใหญ่เทพยดาอยู่ ๔ เมือง โดยกว้างโดยยาวเมืองนั้นใหญ่ได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา รอบนั้นเทียรย่อมกำแพงทอง ประดับด้วยแก้ว ๗ประการ แลกำแพงอันรอบนั้นโดยสูงได้ ๘,๐๐๐ วา
บานประตูนั้นเทียรย่อมแก้ว
แลมีปราสาททองอยู่เหนือประตูนั้นทุกอัน
ในเมืองนั้นเทียรย่อมปราสาทแก้ว
ฝูงเทพยดาอยู่ใน
แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินทองพรายงามราบนักหนาดังหน้ากลอง แลอ่อนดังฝูกผ้า
แลแก้วนั้นเมื่อเหยียบลงอ่อนสน่อยแล้วก็เต็มขึ้นมาเล่า บ่มิเห็นรอยตีนเลย นอกนั้นมีน้ำใสกว่าแก้ว แลมีดอกบัวบาน ๕ สิ่ง ในสระนั้น
น้ำนั้นหอมดั่งแสร้งอบ
แลมีพรรณดอกไม้อันงาม
แลมีต้นไม้อันประเสริฐ งาม
มีลูกอันประเสริฐ
แลมีโอชารสอันยิ่ง แลไม้ฝูงนี้เป็นดอกเป็นลูกทุกเมื่อ
แล่บ่ห่อนจะรู้วายเลยเทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทวดาทั้งหลาย ฝ่ายตะวันออกเขาสุเนรุราชนั้น
ชื่อว่าท้าวธตรฐราช เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายรอดทั่วทั้งกำแพงจักรวาฬฝ่ายตะวันออกแล เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาแลฝูงครุฑราช แลฝูงนาคเถิงกำแพงจักรวาฬเบื้องตะวันตก แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายทักษิณชื่อ
ท้าววิรุฬหกราช เป็นพระญาแก่ฝูงยักษ์อันชื่อกุมภัณฑ์
แลเทพยดาทั้งหลายรอดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายทักษิณ แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายอุดรชื่อ
ท้าวไพรศรพณ์มหาราช เป็นพระญาแก่หมู่ยักษ์ทั้งหลาย แลเทพยดาฝ่ายอุดรทิศเขาพระสิเนรุราชรอดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายอุดรนั้นแล
"
อ้างอิง http://piromwasee.exteen.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น